MIGRAINE HEADACHES

โรคปวดศีรษะไมเกรน

เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี พบได้ถึง 80% ผู้หญิงจะพบได้มากกว่าผู้ชาย

 

สาเหตุ
70% มีประวัติเป็นโรคนี้ในครอบครัว ส่วนสาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด


อาการ
มักจะเริ่มจากข้างใดข้างหนึ่งก่อน ลักษณะอาการจะปวดตุ๊บๆ จากขมับ กระบอกตา และอาจร้าวไปทั้งศีรษะ จนลามไปถึงต้นคอได้ ในบางครั้งอาจปวดสลับข้าง หรือปวดลามไป 2 ข้างพร้อมๆ กัน มักปวดเป็นชั่วโมงๆ หรือเป็นวันๆ ไม่ค่อยจะปวด 10-15 นาทีแล้วหาย อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการผิดปกตินำมาก่อน เช่น เห็นแสงแวบวับ ตาพร่ามัว ต่อมาจึงเริ่มคลื่นไส้อาเจียนและเริ่มปวดศีรษะ

การกระเทือน เช่น การเดิน แสงสว่าง ความร้อน เสียงดัง ดังนั้น ผู้ป่วยมักจะพยายามหาที่สงบเงียบ เย็น และมืด เพื่อนอนพักให้อาการดีขึ้น แต่อาจมีอาการอ่อนเพลียต่อไปได้อีกชั่วระยะ หรืออาจมีอาการทางระบบประสาทอย่างอื่นตามมา เช่น อาการอ่อนแรงของแขนขาครึ่งซีก แต่อาการเหล่านี้จะพบได้ไม่บ่อยนัก
1. อาหารบางชนิด เช่น ช็อคโกแลต ชีส อาหารมัน หัวหอม ผงชูรส มะเขือเทศ
2. แอลกอฮอล์ เช่น เหล้า ไวน์
3. กลิ่นบางอย่าง เช่น หัวหอม ควันเสียจากรถ
4. การอดนอน และความเครียด
5. อากาศร้อน แสงแดดจ้า และไฟกระพริบ
6. ช่วงภาวะก่อน – หลัง หรือระหว่างมีรอบเดือน
การรักษา
1. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น
2. การใช้ยารับประทานเพื่อป้องกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะถ้ามีอาการมากกว่า 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือมากกว่า 4 ครั้งต่อเดือน
3. การรักษาอาการร่วม เช่น ให้ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน
4. รับประทานยาแก้ปวดศีรษะเมื่อมีอาการ
ทางเลือกใหม่ในการรักษาไมเกรน
สาร BOTOX (เป็นสารคลายกล้ามเนื้อ) ซึ่งองค์การอาหารและยาของอเมริกา (FDA) รับรองในการรักษาโรคต่างๆ มากมาย รวมทั้งใช้ฉีดให้ริ้วรอยหายไป เช่น รอยตีนกา รอยย่นที่หน้าผาก และหว่างคิ้ว ยาชนิดนี้ยังใช้ฉีดรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรังจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณขมับและท้ายทอย (Tension Headache) ทำให้อาการปวดศีรษะบรรเทาได้เป็นอย่างดี และนำมาฉีดเพื่อป้องกันการปวดศีรษะไมเกรนได้นานราว 4 เดือน (และทำให้ริ้วรอยเราหายไปด้วย)